You are currently viewing เคล็บลับ กินอาหารอย่างไร เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย

เคล็บลับ กินอาหารอย่างไร เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย

ภูมิต้านทานของแต่ละคนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น อายุ กรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อม นักวิจัยพบว่า สารอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีผลต่อระบบภูมิต้านทานอย่างมาก เช่น วิตามินเอจะทำหน้าที่เป็นด่านป้องกันเชื้อโรคส่วนเยื่อบุผนัง ปาก ปอด และลำไส้

เนื้อหา

ร่างกายเราต้องการสารอาหารเพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน

งานวิจัยชี้ว่า  การทำงานของระบบภูมิต้านทานไม่ต้องการวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณมากอย่างที่เราคิด เพียงแต่เรารับประทานให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องกายเท่านั้น ถ้ากินมากเกินไปกลับเป็นอันตรายได้ เช่นการได้รับธาตุเหล็กสูงเกินควรอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งแย่พอๆ กับการได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ทำนองเดียวกับแร่ธาตุทองแดง ถ้าได้รับมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระในร่างกาย มีผลต่อการทำลายดีเอ็นเอ

แร่ธาตุสังกะสีเป็นอีกตัวหนึ่งในการป้องกันหวัด แต่ถ้าได้รับมากเกินควรก็อาจลดการดูดซึมของแร่ธาตุทองแดงและลดภูมิต้านทานได้

ฉะนั้นอาหารที่หลากหลายและมีสารอาหารที่สมดุลที่เราเลือกกินในชีวิตประจำวันจะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันมีข้อมูลที่แสดงว่าการรับประทานวิตามินและแร่ธาตุรวม (multivitamin minerals) วันละครั้งสามารถเพิ่มระบบภูมิต้านทานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุและคนที่มักจะรับประทานอาหารไม่ครบส่วน

วิตามินอี

วิตามินอีเพิ่มภูมิต้านทาน

ในบรรดาสารอาหารหลายๆ ตัวที่กำลังได้รับการวิจัย วิตามินอีให้ความหวังในด้านเพิ่มภูมิต้านทาน และดูเหมือนข้อมูลการวิจัยจะสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเสริมอาหารชนิดนี้เพิ่มขึ้น ดร. ไซมิน เมย์ดานี แห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์สในบอสตัน พบว่า การเสริมวิตามินอีวันละ 200 ไอยู เป็นปริมาณที่เหมาะสมในการเพิ่มภูมิตานทาน และปริมาณที่สูงกว่านี้ไม่ได้เพิ่มผลดีแต่อย่างงใด

ไขมันกับระบบภูมิต้านทาน

ไขมันกับระบบภูมิต้านทาน

อาหารไขมันต่ำเกินไปอาจสร้างปัญหาลดภูมิต้านทาน ในขณะที่อาหารไขมันสูงเกินไปสร้างปัญหาโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือด โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

ไขมันที่มีบทบาทต่อระบบภูมิต้านทานคือ กรดไขมันจำเป็นไลโนเลอิก(กลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 6) และกรดไขมันจำเป็นแอลฟาไลโนเลนิก (กลุ่มโอเมก้า 3 พบมากในปลาทะเล แฟลกซ์สีด วอลนัท และน้ำมันคาโนลา) หากร่างกายได้รับกรดไขมันทั้งสองไม่เพียงพอจะทำให้แผลหายช้า ซึ่งเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกให้รู้ว่าระบบภูมิต้านทานทำงานลดลง คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาในปริมาณกรดโอเมก้า 6 เพราะทุกวันนี้ร่างกายได้รับอย่างเกินพอ แต่กรดโอเมก้า 3 ซึ่งเพิ่มภูมิต้านทาน เรามักจะรับประทานกันไม่เพียงพอ

หวัดกับภูมิต้านทาน

หวัดกับภูมิต้านทาน

เรื่องของการรักษาหวัดเป็นคำถามี่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ปัจจุบันไม่มียาที่จะรักษาหวัดซึ่งเป็นเชื้อไวรัส จะรักษาตามอาการ แนะนำให้พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ แต่ถ้าภูมิต้านทานดี หวัดก็จะทำอะไรไม่ได้

วิตามินซี การรับประทานวิตามินซีในขนาดสูงๆ ไม่สามารถป้องกันหวัดได้การวิจัยพบว่า การเสริมวิตามินซีวันละ 2000 มิลลิกรัมเพียงลดความรุนแรงของอาการหวัดและระยะเวลาขงการเป็นหวัดเท่านั้น แต่โดสสูงขนาดนั้นไม่แนะนำสำหรับเด็ก หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และอาจทำให้เกิดอาการถ่ายท้องบ่อยหรือนิ่วในไตกับบางคน

กรณีรับประทานวิตามินซีสูงไม่ควรเกิน 1000 มิลลิกรัมต่อวันและแบ่งเป็น2 โดส โดสสละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม แต่การดื่มน้ำส้มคั้นมากๆ จะได้ทั้งน้ำและวิตามินซีที่เพิ่มภูมิต้านทานและลดอาการหวัดได้

สมุนไพรบางชนิดยังได้รับการยอมรับว่าอาจมีส่วนในการเพิ่มภูมิต้านทาน เช่น เอคินาเซีย (Echinacea) โสม เครื่องเทศบางชนิด ได้แก่ ขมิ้น (turmeric) เห็ดหอมญี่ปุ่น (Shitake) และกระเทียม

อาหารและสมุนไพรเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

อาหารและสมุนไพรเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

การขาดสารอาหารบางตัวอาจมีผลในการลดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายข้อมูลการวิจัยส่วนใหญ่สนับสนุนการบริโภคอาหารหลากหลายในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รับสารอาหารสมดุล เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและพฤกษเคมีอย่างเพียงพอที่จะเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

สรุป

แม้ระบบภูมิคุ้มกันของงคนเราจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่เราก็มีวิธีชะลอหรือแก้ไขโดยการปับเปลี่ยนกาดำเนินชีวิตด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด และงดสูบบุหรี่ นอกจากนี้การมีโภชนาการที่ดีก็เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การปฏิบัติตัวง่ายๆ ในการบิริโภคอาหารเพิ่มภูมิต้านทานคือ รับประทานผักผลไม้ให้หลากหลายรับประทานถั่วต่างๆ  และรับประทาปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง               

ส่วนอาหารไขมันควรจำกัดให้ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของพลังงาน โดยการจำกัดปริมาณน้ำมันที่ใช้ทำอาหาร จำกัดเนย มาร์การีน ใช้น้ำมันพืชพอสมควร ลดอาหารทอดและลดการใช้กะทิ

กรณีที่ต้องการเสริมวิตามินและแร่ธาตุรวม หรือมัลติวิตามนที่ให้สารอาหารโดยเฉพาะวิตามินบีประมาณร้อยเปอร์เซ็นต์ของข้อกำหนดประจำวัน เสริมเพียงวันละเม็ดก็พอแล้ว ผู้สูงอายุอาจพิจารณาการเสริมวิตามินอีธรรมชาติวันละไม่เกิน 200 ไอยู ทั้งนี้อย่าลืมปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการถึงปริมาณที่เหมาะสม

Facebook
Twitter

แสดงความคิดเห็น